พระเจ้าทรงแสวงหาคนเหล่านั้นที่ไม่เพียงรักพระองค์ แต่หลงรักพระองค์ ในพระคัมภีร์เดิมคำภาษาฮีบรูสำหรับการนมัสการ คือ shachah ซึ่งมีความหมายว่า “หมอบลงต่ำ, หมอบกราบลงด้วยความจงรักภักดีต่อราชวงศ์กษัตริย์หรือต่อพระเจ้า” ส่วนในพระคัมภีร์ใหม่ คำว่า “นมัสการ” เป็นคำศัพท์ภาษากรีก proskuneo ซึ่งมีความหมายว่า “จูบหรือเหมือนอย่างสุนัขที่เลียมือนายของมัน” รูปแบบของกรีกคือคุกเข่าแทบเท้าผู้หนึ่ง และโน้มตัวไปซบข้างหน้าเพื่อแสดงถึงการเทิดทูนบูชา การนมัสการแบบพระคัมภีร์เดิมคือคุกกราบด้วยความรักเทิดทูน ส่วนการนมัสการแบบพระคัมภีร์ใหม่ก็จะมีการจุมพิตเพิ่มเข้าไปด้วย
การนมัสการเป็นการหันเหชีวิตจากการไขว่คว้าและความกังวลของโลกไปที่พระเจ้า เป็นชีวิตที่เอ่อล้นด้วยความรักอันเร่าร้อนต่อพระเจ้า เป็นชีวิตที่เฝ้าจุมพิตพระพักตร์พระเจ้าเรื่อยไป พระเจ้าไม่ต้องการให้เราแค่จัดเวลานมัสการเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ทรงปรารถนาให้ทั้งชีวิตของเราเป็นการนมัสการแด่พระองค์ อย่างไรก็ตามศัตรูก็พยายามวางกับดักเพื่อจะลักเอาการนมัสการพระเจ้าไปจาก ชีวิตเรา ซึ่งอาจเป็นกับดักของความเย่อหยิ่ง (สภษ.16:18; อสย.14:12-14) กับดักของธรรมเนียมปฏิบัติ (มก.7:13) กล่าวคือมนุษย์ใช้หลักการที่สร้างขึ้นเพื่อสอนให้ผู้คนเข้าหา พระเจ้าในแบบศาสนา ซึ่งโดยมากแล้วเป็นแค่การนมัสการพระเจ้าที่ปาก แต่จิตใจยังห่างไกลจากพระเจ้า การนมัสการไม่ใช่การทำตามธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาในคริสตจักร แต่การนมัสการผุดขึ้นจากหัวใจที่ได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณ การนมัสการที่แท้จริงจะไหลออกจากมือที่สะอาดและใจที่บริสุทธิ์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือผู้ที่ตกอยู่ในกับดักของธรรมเนียมปฏิบัติ ก็จะตกอยู่ในกับดักของการตัดสินผู้อื่น และกับดักของวิญญาณแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ด้วย เพราะคนที่ยึดติดกับธรรมเนียมปฏิบัติจะไวในการตัดสินและกล่าวโทษพวกที่ถือ ธรรมเนียมปฏิบัติอย่างอื่น ตราบใดที่เรายังพูดถึงความอ่อนแอของผู้อื่น เราก็ไม่มีเวลาที่จะเปิดให้พระเจ้าทรงชำระเราจากความอ่อนแอของเรา และนั่นจะฉุดรั้งเราไม่ให้เข้าสู่การนมัสการ กับดักอย่างอื่นที่ศัตรูอาจใช้ล่อลวงเราได้อีก คือกับดักของการไม่ให้อภัย กับดักของการนินทา กับดักของวิญญาณศาสนา ผู้นมัสการที่แท้จะแสวงหาความสัมพันธ์กับพระเจ้า ไม่ใช่ระบบศาสนาที่อ้างว่ารู้เรื่องพระเจ้า รวมทั้งกับดักของการบ่น ซึ่งมักจะทำให้เราจดจ่ออยู่ที่ปัญหาหรือบุคคลอื่น แทนที่จะจดจ่ออยู่ที่พระเยซู
ดาวิดเป็นบุคคลตัวอย่างของผู้นมัสการพระเจ้า ดาวิดมีหัวใจที่ถวิลหาการทรงสถิตของพระเจ้า ความถวิลหานี้ไม่สามารถถูกเติมได้ด้วยการรับใช้ หรือการยอมรับจากผู้คน หรือแม้แต่ความผูกพันในคริสตจักร ดาวิดปรารถนาที่จะอยู่ในนิเวศของพระเจ้าเพื่อชมความงดงามขององค์พระผู้เป็น เจ้า เมื่อพระเจ้าทรงมองดูหัวใจของดาวิด พระองค์ทรงพบหัวใจที่แสวงหาพระเจ้า หัวใจที่แตกสลายต่อพระพักตร์พระเจ้า และเป็นหัวใจที่บริสุทธิ์ต่อพระพักตร์พระองค์ การนมัสการที่แท้จะต้องเป็นการแสดงออกของความรัก การนมัสการเริ่มต้นด้วยความรักของพระเจ้า เมื่อเรารับความรักที่ทรงมีต่อเรา เราก็จะตอบสนองต่อรักนั้น เมื่อเราเริ่มตื่นตัวต่อความรักของพระเจ้า เราก็จะตอบพระองค์ด้วยการนมัสการ การนมัสการเป็นพาหนะที่จะนำเราเข้าสู่การทรงสถิตของพระเจ้า การนมัสการนั้นเกี่ยวกับการทรงสถิตที่ลงมาและสัมผัสเราในขณะที่ทรงรอคอยการ ตอบสนองของเรา การนมัสการนั้นเกี่ยวกับการรักพระเจ้า สิ่งที่สำคัญสุดยอดของการนมัสการก็คือการที่พระองค์ทรงเชิญเราเข้าสู่การทรง สถิตของพระองค์ ไม่ใช่เราเชิญพระองค์มาอยู่ต่อหน้าเรา การนมัสการจะนำเราเข้าสู่สามัคคีธรรมกับพระเจ้า และสามัคคีธรรมจะนำสู่การทรงสำแดง พระเจ้าทรงสัมผัสเราด้วยการทรงสถิตเพราะพระองค์ปรารถนาที่จะมีสามัคคีธรรม กับเรา
เราถูกสร้างมาให้นมัสการ แล้วจึงถูกเรียกเข้าสู่การรับใช้ แต่คนจำนวนมากคิดว่าตนเองถูกสร้างมาเพื่อจะรับใช้และได้รับการทรงเรียกให้ นมัสการ ความแตกต่างระหว่างการนมัสการและการรับใช้นั้น กล่าวคือการรับใช้คือสิ่งที่ลงมายังเราจากพระบิดาโดยผ่านทางพระบุตรโดยฤทธิ์ เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้รับใช้พระเจ้าจะเคลื่อนไปได้ด้วยการเจิมตามพระประสงค์ของพระเจ้าในงานรับ ใช้นั้นๆ ส่วนการนมัสการคือสิ่งที่ขึ้นไปจากผู้เชื่อโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณผ่านทาง พระบุตรขึ้นไปยังพระบิดา การรับใช้ถูกส่งจากพระเจ้าลงมาถึงเรา ส่วนการนมัสการถูกส่งจากเราขึ้นไปถึงพระเจ้า การรับใช้คือสิ่งที่เราทำ ส่วนการนมัสการคือสิ่งที่เราเป็น
สภาพฝ่ายวิญญาณของเราเป็นปัจจัยหลักที่การนมัสการของเราจะได้รับการยอมรับ หรือไม่ “คุณค่า” ของการนมัสการนั้นขึ้นอยู่กับความจริงใจของผู้นมัสการ “พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” (ยน.4:24) การนมัสการด้วยจิตวิญญาณคือการนมัสการโดยมีพระคำของพระเจ้าอยู่ในมือ และมีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในหัวใจ พระบิดาทรงแสวงหาคนเหล่านั้นที่จะนมัสการพระองค์ สิ่งแรกสุด คือ “จิตวิญญาณ” และที่สองคือ “ความจริง” พระเจ้าทรงแสวงหาผู้นมัสการไม่ใช่การนมัสการ
ผู้ที่ถวิลหาพระเจ้าและนมัสการพระองค์ พระองค์จะเทพระสิริของพระองค์แก่เขา เฉกเช่นใบหน้าของโมเสสไม่ได้ทอแสงแห่งพระสิริเมื่อเขาข้ามทะเลแดง แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อเขาถวิลหาพระเจ้า พระสิริของพระเจ้าจะสร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิต ผู้คนรอบข้างจะรู้ว่าเราเปลี่ยนไป เพื่อเราจะถวายสง่าราศีแด่พระเจ้า เพื่อนำคนหลงหายมาถึงความรอด เพื่อคนป่วยจะได้รับการรักษาและคนที่ถูกผูกมัดจะเป็นอิสระ และนี่คือการสำแดงที่แท้จริงแห่งพระสิริของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์
การนมัสการจะนำมาซึ่งการรื้อฟื้นและการเยียวยารักษา การนมัสการจะซ่อมสร้างส่วนที่เสียหายไปเนื่องจากความบาป การนมัสการจะซ่อมแซมและสร้างขึ้นใหม่ การนมัสการที่แท้จะนำมาซึ่งการรื้อฟื้น การรื้อฟื้นแท่นบูชาแห่งการนมัสการก็จะทำให้ผู้นมัสการได้รับการรื้อฟื้น ด้วย เมื่อเราสร้างแท่นบูชาแห่งการนมัสการขึ้นใหม่ การนมัสการก็จะสร้างเราขึ้นใหม่ด้วย
ข้อมูลจาก : http://www.gracezone.org/index.php/bible-study/350-2009-03-11-12-38-38
และพบกับบทความดีๆอีกมากมายได้ที่ >> http://www.gracezone.org